เอกภพ
ดาราศาสตร์
คือ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับดวงดาวต่างๆ รวมทั้งโลกที่เราดำรงชีวิตอยู่
ในอดีตมนุษย์บนโลกได้สังเกตลักษณะ ตำแหน่งและการโคจรของดาวบางดวงหรือบางก ลุ่ม
แล้วนำมาใช้ในการนำทาง การบอกทิศ การสังเกตดวงจันทร์เต็มดวงก็ดี จันทร์เสี้ยวก็ดี
ทำให้เกิดข้างขึ้นข้างแรมบนโลกมนุษย์ ส่งผลไปถึงการทำปฏิทินจันทรคติ เป็นต้น
โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง
หมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดปรากฏการณ์หลายอย่าง เช่น กลางวัน
กลางคืน ซึ่งส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์โลก
กำเนิดเอกภพ
http://ilmalefico.wordpress.com/
กำเนิดเอกภพเริ่มนับจากจุดที่เรียกว่า " บิกแบง (BigBang) " บิกแบง เป็นชื่อที่ใช้เรียกทฤษฎีกำเนิดเอกภพทฤษฎีหนึ่ง
ปัจจุบันบิกแบงเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เพราะมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่สอดคล้อง หรือเป็นไปตามทฤษฎีบิกแบง ก่อนการเกิดบิกแบง เอกภพเป็นพลังงานล้วนๆ ภายใต้อุณหภูมิที่สูงยิ่ง
จุดบิกแบงจึงเป็นจุดที่พลังงานเริ่มเปลี่ยนเป็นสสารครั้งแรก
เป็นจุดเริ่มต้นของเวลาและเอกภพ
ปัจจุบันเอกภพประกอบด้วยกาแล็กซีจำนวนเป็นแสนล้านแห่ง
ระหว่างกาแล็กซีเป็นอวกาศที่เวิ้งว้างกว้างไกลเอกภพจึงมีขนาดใหญ่มาก โดยมีรัศมีไม่น้อยกว่า
15,000 ล้านปีแสง และมีอายุประมาณ 15,000
ล้านปีแสง ภายในกาแล็กซีแต่ละแห่งประกอบด้วยดาวฤกษ์จำนวนมาก รวมทั้งแหล่งกำเนิดดาวฤกษ์ที่เรียกว่า เนบิวลา และที่ว่าง
โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะ ซึ่งเป็นสมาชิกหนึ่งของกาแล็กซีของเรา
บิกแบงเป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงการระเบิดใหญ่ที่ทำให้พลังงานส่วนหนึ่งเปลี่ยนเป็นเนื้อสาร
มีวิวัฒนาการต่อเนื่องจนเกิดเป็นกาแล็กซี เนบิวลา ดาวฤกษ์ ระบบสุริยะ โลก
ดวงจันทร์ มนุษย์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ
ขณะเกิดบิกแบง
มีเนื้อสารเกิดขึ้นในรูปของอนุภาคพื้นฐานชื่อ ควาร์ก (Quark) อิเล็กตรอน
(Electron) นิวทริโน (Neutrino) และโฟตอน
(Photon) ซึ่งเป็นพลังงาน เมื่อเกิดอนุภาคก็จะเกิดปฏิอนุภาค
(Anti-particle) ที่มีประจุไฟฟ้าตรงกันข้าม
ยกเว้นนิวทริโนและแอนตินิวทริโน ไม่มีประจุไฟฟ้า
เมื่อปฏิอนุภาคพบกับอนุภาคชนิดเดียวกัน
จะหลอมรวมกันเนื้อสารเปลี่ยนไปเป็นพลังงานจนหมดสิ้น ถ้าเอกภพมีจำนวนอนุภาคเท่ากับปฏิอนุภาคพอดี
เมื่อพบกันจะกลายเป็นพลังงานทั้งหมด ก็จะไม่เกิดกาแล็กซี
ดาวฤกษ์และระบบสุริยะ โชคดีที่ในธรรมชาติ
มีอนุภาคมากกว่าปฏิอนุภาค ดังนั้นเมื่อปฏิอนุภาคพบอนุภาค
นอกจากจะได้พลังงานเกิดขึ้นแล้ว ยังมีอนุภาคเหลืออยู่
และนี่คืออนุภาคก่อกำเนิดเป็นสสารของเอกภพในปัจจุบัน
หลังบิกแบงเพียง
10-6 วินาที อุณหภูมิของเอกภพลดลงเป็นสิบล้านล้านเคลวิน
ทำให้ควาร์กเกิดการรวมตัวกันเป็นโปรตอน (นิวเคลียสของไฮโดรเจน) และนิวตรอน
หลังบิกแบง
3 นาที อุณหภูมิของเอกภพลดลงเป็นร้อยล้านเคลวิน
มีผลให้โปรตรตอนและนิวตรอนเกิดการรวมตัวเป็นนิวเคลียสของฮีเลียม ในช่วงแรกๆนี้ เอกภพขยายตัวอย่างเร็วมาก
หลังบิกแบง
300,000ปี อุณหภูมิลดลงเหลือ 10,000 เคลวิน
นิวเคลียสของไฮโดรเจนและฮีเลียมดึงอิเล็กตรอนเข้ามาอยู่ในวงโคจร
เกิดเป็นอะตอมไฮโดรเจนและฮีเลียมตามลำดับ
กาแล็กซีต่างๆ เกิดหลักบิกแบงอย่างน้อย
1,000 ล้านปี
ภายในกาแล็กซีมีธาตุไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นสารเบื้องต้นซึ่งก่อกำเนิดเป็นดาวฤกษ์รุ่นแรกๆ
ส่วนธาตุต่างๆที่มีมวลมากกว่าฮีเลียมเกิดจากดาวฤกษ์ขนาดใหญ่
ข้อสังเกตที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง
ปรากฏการณ์อย่างน้อย 2 อย่าง ที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ได้แก่
1. การขยายตัวของเอกภพ ฮับเบิล
นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันค้นพบว่า
กาแล็กซีเคลื่อนที่ไกลออกไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นตามระยะห่าง
กาแล็กซีที่อยู่ไกลยิ่งเคลื่อนที่ห่างออกไปเร็วกว่ากาแล็กซีที่อยู่ใกล้ นั่นคือ
เอกภพกำลังขยายตัว จากความเข้าใจในเรื่องนี้ทำให้นักดาราศาสตร์สามารถคำนวณอายุของเอกภพได้
2. อุณหภูมิพื้นหลังอวกาศซึ่งปัจจุบันลดลงเหลือ
2.73 เคลวิน การค้นพบอุณหภูมิของเอกภพในปัจจุบัน
หรืออุณหภูมิพื้นหลัง เป็นการค้นพบโดยบังเอิญโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา 2 คน คือ อาร์โน เพนเซียส และ โรเบิร์ต วิลสัน
แห่งห้องปฏิบัติการเบลเทเลโฟน เมื่อปีพ.ศ.2508
ขณะนักวิทยาศาสตร์ทั้งสองคน กำลังทดสอบระบบเครื่องรับสัญญาณของกล้อง
โทรทรรศน์วิทยุ ปรากฏว่ามีสัญญาณรบกวนตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน หรือฤดูต่างๆ แม้เปลี่ยนทิศทาง
และทำความสะอาดสายอากาศแล้วก็ยังมีสัญญาณรบกวนอยู่เช่นเดิม
ต่อมาทราบภายหลังว่าเป็นสัญญาณที่เหลืออยู่ในอวกาศเทียบได้กับพลังงานของการแผ่รังสีของวัตถุดำ
ที่มีอุณหภูมิประมาณ 2.73 เคลวิน หรือประมาณ – 270 องศาเซลเซียส
ในขณะเดียวกัน
โรเบิร์ต ดิกกี พี.เจ.อีพี เบิลส์ เดวิด โรลล์ และ เดวิด วิลคินสัน
แห่งมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ทำนายมานานแล้วว่า
การแผ่รังสีจากบิกแบงที่เหลืออยู่ในปัจจุบันน่าจะตรวจสอบได้
โดยกล้องโทรทรรศน์วิทยุ
ดังนั้นการพบพลังงานจากทุกทิศในปริมาณที่เทียบได้กับพลังงานการแผ่รังสี
ของวัตถุดำที่ประมาณ 2.73 เคลวิน จึงเป็นอีกข้อหนึ่งที่สนับสนุน
ทฤษฎีบิกแบงได้เป็นอย่างดี
บิกแบงและวิวัฒนาการของเอกภพ
http://talklikeaphysicist.com/
กาแล็กซี
(Galaxy)
กาแล็กซี
คืออาณาจักรหรือระบบของดาวฤกษ์ จำนวนนับแสนล้านดวง อยู่รวมกัน ด้วยแรงโน้มถ่วง
ระหว่างดวงดาวกับหลุมดำที่มีมวลมหาศาล
ซึ่งอยู่ ณ ศูนย์กลางของกาแล็กซี โดยมีเนบิวลาเป็นกลุ่มแก๊สและฝุ่นละออง
ที่เกาะกลุ่มอยู่ในที่ว่างบางแห่งระหว่างดาวฤกษ์ ระบบสุริยะสังกัดอยู่
กาแล็กซีทางช้างเผือก(Milky
Way Galaxy) มีกาแล็กซีที่สังเกตได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่
กาแล็กซีแอนโรเมดา กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่
และกาแล็กซีแมกเจนแลนเล็ก
ได้จำแนกกาแล็กซีออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้
1. กาแล็กซีปกติ
(regular galaxy) เป็นกาแล็กซีที่มีรูปแบบ
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1.1 กาแล็กซีรี
(elliptical galaxy) มีรูปร่างแบบกลมรี ซึ่งบางกาแล็กซีอาจกลมมาก
บางกาแล็กซีอาจมีมาก นักดาราศาสตร์ให้ความเห็นว่า
กาแล็กซีประเภทนี้จะมีรูปแบบกลมรีมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับอัตราการหมุนของกาแล็กซี
ถ้าหมุนเร็วกาแล็กซีจะมีรูปแบบยาวรีมาก
1.2 กาแล็กซีกังหัน
(spiral galaxy) มีรูปร่างคล้ายกังหัน
อัตราการหมุนของกาแล็กซีกังหันนี้จะเร็วกว่าอัตราการหมุนของกาแล็กซีรี
บางกาแล็กซีจะมีคาน เรียกว่า กาแล็กซีกังหันมีคาน (barred spiral galaxy) เช่น กาแล็กซีทางช้างเผือก
1.3 กาแล็กซีลูกสะบ้า
(lenticular galaxy) มีรูปร่างคล้ายเลนส์นูน
2. กาแล็กซีไร้รูปทรง
(Irregular galaxy ) เป็นกาแล็กซีที่ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน
หรือเรียกว่า กาแล็กซีอสัณฐาน มักจะเป็นกาแล็กซีขนาดเล็ก
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : http://www.chaiyatos.com/sky_lesson1.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น